ฮั้วลักเซียมคุยเรื่องโรค

ฮั้้วลักเซียมคุยเรื่องโรค ตอน โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท คือ ภาวะของโรคที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของโครงสร้างกระดูกสันหลังทำให้เกิดการทรุดตัวของโครงสร้างกระดูกตามไปด้วย ซึ่งหลังจากนั้นร่างกายจะมีการตอบสนองโดยการสร้างกระดูกงอก หรือหินปูนขึ้นมาเพื่อต้านการทรุดตัว แต่โดยปกติแล้วกระดูกงอก ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาใหม่ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ แต่บางรายเกิดกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทและทำให้เกิดอาการปวดร้าวไปตามเส้นประสาทของร่างกายได้

อาการของโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท คือ มีอาการปวดหลัง เป็น ๆ หาย ๆ เป็นเวลานานมากกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไป ปวดขาตั้งแต่บริเวณสะโพกร้าวไปบริเวณน่อง เท้า ซึ่งจะปวดมากเวลาเดิน ต้องหยุดเดินเป็นระยะ ๆ อาการที่ชัดเจนคือ ปวดหลังร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างซึ่งถ้าปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา จะทำให้เส้นประสาททำงานได้น้อยลง เพราะโดนกดทับ ทำให้กล้ามเนื้อขาอ่อนแรง เดินไม่ได้และควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ อาจถึงขั้นเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้

        ยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมช่วยบำรุง ฟื้นฟู และปรับสมดุลของระบบต่างๆในร่างกายให้กลับมาทำงานได้เป็นปกติ ดูเพิ่มเติม ประสบการณ์ผู้ป่วยโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทที่ใช้ยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียม

 


 ฮั้้วลักเซียมคุยเรื่องโรค ตอน โรคเอดส์

โรคเอดส์ (Aids)

โรคเอดส์เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส Human Immunodeficiency Virus(Hiv) ไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส

ทำให้เกิดโรคเอดส์ ซึ่งเมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายเชื้อจะแบ่งตัวอย่างมากและมีการเกิดโรคที่อวัยวะต่างๆ เช่นสมอง หัวใจ ไตและที่สำคัญคือจะทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันนี้จะทำหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันหรือ ภูมิต้านทานเพื่อต่อต้านการติดเชื้อ ในการสร้างภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานจะต้องอาศัยเซลล์หลายชนิดที่สำคัญได้แก่เซลล์ CD4 และ lymphocytes เมื่อเซลล์ CD4 และ lymphocytes ถูกทำลายโดยเชื้อHIV ก็จะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานของร่างกายอ่อนแอลง ดังนั้นปัญหาที่สำคัญของคนติดเชื้อ HIV คือ โรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานที่อ่อนแอ

โดยอาการของผู้ป่วย HIV คือ มีไข้ น้ำหนักลด ต่อมน้ำเหลืองโต ท้องเสียเรื้อรัง

        ฮั้วลักเซียม ช่วยผู้ป่วยเอดส์หรือ HIVได้อย่างไร

        ฮั้วลักเซียมเป็นยาน้ำสมุนไพรที่ประกอบด้วย ตัวยาสมุนไพรอันทรงคุณค่าถึง 99 ชนิด ซึ่งในจำนวนนี้มี สมุนไพรที่ช่วยปรับภูมิคุ้มกัน หรือ ภูมิต้านทาน ถึง 5 ชนิด ได้แก่

1.- Cordyceps sinensis (ตังถั่งเช่า) : เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายโดยไปกระตุ้นเซลล์หรือสารเคมีเฉพาะเจาะจงในระบบสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย

 

 2.- Achyranthes bidentata (หญ้าพันงูน้อย หรือ งู่ฉิก) : กระตุ้นให้ร่างกายสร้าง Interleukin-2 มากขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับการบำรุงฟื้นฟู ระบบภูมิต้านทานของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุที่มีระบบภูมิคุ้มกัน หรือภูมิต้านทานต่ำ

 

  3.- Astragalus membranaceus (Milk vetch ปักคี้ หรือ อึงคี้) : ช่วยจำนวนเม็ดเลือดขาว มีฤทธิ์กระตุ้น cytokine อย่างเฉพาะเจาะจง

 

  4.- Panax ginseng (โสมเกาหลี): ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวโดยโดยกระตุ้นทั้ง B cell และ T cell ของระบบภูมิคุ้มกัน

 

 นอกจากนั้นในโสมยังมี สารที่ชื่อว่า protopanaxadiol และ protopanaxatriol ซึ่งช่วยเพิ่มจำนวนของ lymphocyte และ cytokine ได้อีกด้วย

 

 5. - Panax quinquefolius (โสมอเมริกา) : ส่วนที่เป็นสารสกัดในน้ำ (เป็นส่วนที่มี polysaccharide) มีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นหรือเสริมสร้างภูมิต้านทาน พวก nitric oxide (NO),tumor necrotic factor α(TNF α),Interleukin 6 (IT-6)

        ซึ่งสมุนไพรทั้ง 5 ชนิดที่ได้กล่าวถึง ล้วนมีความสำคัญต่อการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานของร่างกาย ช่วยให้เซลล์ภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นและมีความแข็งแรงพอที่จะต่อสู้กับการรุกรานของเชื้อได้ ในความเป็นจริง ฮั้วลักเซียมไม่ได้รักษาโรคได้โดยตรงแต่ผลที่เกิดขึ้นของผู้ที่ดื่มฮั้วลักเซียมแล้วมีอาการดีขึ้นนั้นเกิดจากร่างกายของผู้ที่ดื่มยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมเอง มีการปรับตัวเป็นผลจากการฟื้นฟู บำรุง ระบบภายใน พร้อมทั้งกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทาน ซึ่งเป็นจุดสำคัญ ทำให้ร่างกายผู้ป่วยแข็งแรงขึ้น สามารถต่อสู้กับโรคร้ายได้เอง

        ดังที่ได้ทราบกันไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ผู้ป่วยโรค HIV จะเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมาเช่น  ผู้ป่วยมีการติดเชื้อที่ไต ในยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียม ยังมีตัวยาสมุนไพรอื่นๆ ที่ช่วยฟื้นฟูระบบอวัยวะต่างๆ เช่น ฟื้นฟูการทำงานของไต ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย  ยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมช่วยบำรุง ฟื้นฟู และปรับสมดุลของระบบต่างๆในร่างกายให้กลับมาทำงานได้เป็นปกติ ดูเพิ่มเติม ประสบการณ์ผู้ป่วยเอดส์ที่ดื่มยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียม


 

ฮั้วลักเซียมคุยเรื่องโรค ตอน โรคมะเร็ง : รักษาผิดวิธีหรือไม่ ???

    เคยสังเกตบางไหมว่า ในปัจจุบันนี้ ยิ่งวิวัฒนาการทางการแพทย์ล้ำหน้าไปมากเท่าไหร่ โรคภัยไข้เจ็บก็ยิ่งมีการพัฒนาทิ้งห่างออกไปเท่านั้น ถึงแม้ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาโดยวิธีทางการแพทย์แผนปัจจุบันที่ดีที่สุด ทันสมัยที่สุด และหายจากโรคแล้วก็ตาม แต่ไม่มีใครรับประกันได้ว่า ผู้ป่วยจะไม่กลับมาเป็นโรคนั้นอีก ยกตัวย่างเช่น โรคมะเร็ง เป็นตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดและเราอาจจะเคยได้ยินหรือพบเจอผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้บ้าง บางคนบอกว่าทำคีโม ฉายแสง จนมะเร็งหายแล้วแต่ไม่นานก็กลับมาเป็นใหม่อีก หรือว่าเรารักษาผิดวิธี

    มะเร็ง คือ เซลล์ปกติของร่างกายที่มีการเจริญเติบโต แบ่งตัวและเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นก้อนเนื้อไปเบียดบังอวัยวะนั้นๆ ซึ่งสามารถลุกลามและแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆได้

    ทฤษฎีแพทย์แผนจีนได้กล่าวถึงมะเร็งโดยอาศัยหลักความสมดุลของความร้อนและความเย็น หรือหยินและหยาง โดยจัดความร้อนและความแห้งเป็นกลุ่มของหยางและจัดความเย็นและความชื้นเป็นกลุ่มของหยิน

    มะเร็งที่เกิดจากความร้อนและความแห้งจะเผาพลาญของเหลวทำให้สมดุลของหยินลดลง สาเหตุของการมีหยางมากเกินไป ได้แก่ การทานอาหารที่มีรสร้อน อาหารเค็ม การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา และการตรากตรำทำงานหนัก ลักษณะอาการของโรคมะเร็งที่เกิดจากความร้อนมีดังนี้ ร่างกายซูบผอม ผิวแห้งหยาบ ตัวร้อน มือและเท้าร้อน อุจจาระแข็ง โรคมะเร็งที่มักเกิดจากความร้อนจะมีหนองและมีเลือดออกตามอวัยวะที่เป็นมะเร็ง และจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน

    มะเร็งที่เกิดจากความเย็น ทำให้เส้นเลือดหดตัว เลือดจับตัวขวางการไหลเวียนสาเหตุเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีรสเย็นมากเกินไป การรับประทานของดิบ การไม่ออกกำลังกาย การพักผ่อนมากเกินไป และอากาศที่ชื้นเป็นตัวกระตุ้นให้หยินกำเริบ ลักษณะของมะเร็งที่เกิดจากความเย็นมีดังนี้  อาหารไม่ย่อย ความอยากอาหารลดลง ขาดสารอาหาร ภูมิต้านทานลดลง อุจจาระเหลว เย็นตามปลายมือ ปลายเท้า มีก้อนเนื้องอกแข็งไม่มีหนอง และไม่มีเลือดออก

    การรักษามะเร็งด้วยยาคีโม

    ยาคีโม มาจาก chemotherapy แปลว่า การรักษาด้วยเคมีบำบัด ซึ่งการรักษาด้วยเคมีบำบัดจะมีผลต่อเซลล์ที่มีการแบ่งตัวหรือมีการเจริญเติบโตที่รวดเร็วซึ่งเซลล์พวกนี้ นอกจากเซลล์มะเร็งแล้วยังรวมไปถึงเซลล์ปกติของร่างกายด้วย เช่น เซลล์เม็ดเลือด เซลล์เส้นผม เซลล์เยื่อบุต่างๆ ซึ่งเมื่อผู้ป่วยได้รับยาคีโมเข้าไป เซลล์มะเร็งและเซลล์พวกนี้ก็จะได้รับผลกระทบจากยาด้วยเกิดเป็นผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ที่เรียกว่า side effect ตามมา ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาคีโมมีอาการ อันเกิดจากผลข้างเคียง เช่น

-      คลื่นไส้อาเจียน ท้องเดิน และแผลในปาก : เกิดจากเซลล์เยื่อบุถูกทำลาย

-      ผมร่วง : เกิดจากเซลล์ที่กำลังแบ่งตัวเป็นเซลล์เส้นผมถูกทำลาย

-      ร่างกายอ่อนแอ เกิดการติดเชื้อโรคง่าย : เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทำลาย

-      เกิดภาวะซีด : เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย

 

จะเห็นได้ว่าภาวะที่ร่างกายได้รับผลข้างเคียงจากการใช้คีโม หรือฉายแสงทำให้ร่างกายอ่อนแอลง ขาดสมดุล ร่างกายเกิดภาวะซีด อ่อนเพลียไม่มีแรง ภูมิต้านทานต่ำ ซึ่งภาวะดังกล่าว อาจกล่าวได้ว่า เป็นภาวะที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดโรคอื่นๆ ตามมาโดยที่เราไม่รู้ตัว อีกทั้งยังเป็นการเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งไปยังจุดอื่นๆของร่างกาย เนื่องจากภูมิต้านทานร่างกายต่ำ

อย่างไรก็ตามแม้ว่ามะเร็งเป็นโรคที่รักษาให้หายยาก แต่ใช่ว่าจะไม่มีทางเลย การรักษามะเร็ง โดยวิธีทางตรงโดยการจัดการกับเซลล์มะเร็งโดยตรงอาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการรักษามะเร็ง ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่ยังมีอีกวิธีที่เป็นวิธีทางอ้อมโดยใช้วิธีประนีประนอม นั่นคือ การรักษาร่างกายให้แข็งแรง พยายามรักษาสมดุลร่างกาย และเสริมภูมิต้านทานให้แก่ร่างกายโดยวิธีธรรมชาติ วิธีนี้ไม่ได้ใช้ความรุนแรงกับเซลล์มะเร็งแต่เป็นการค่อยๆทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ให้ร่างกายผลิตเม็ดเลือดขาวและภูมิต้านทานตามธรรมชาติมากขึ้นๆ เพื่อค่อยๆ จัดการกับเซลล์มะเร็งเองซึ่งวิธีนี้ร่างกายเองก็ไม่ได้บอบช้ำ ถึงแม้เซลล์มะเร็งเองอาจไม่ได้ตายไปอย่างฉับพลันแต่ก็นับว่าเป็นวิธีที่น่าสนใจซึ่งไม่เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาคีโม หรือการฉายแสง

การรักษามะเร็ง

1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค

อาหารนับได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง ที่สำคัญ

อาหารที่ควรลดหรือหลีกเลี่ยง สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง คือ เนื้อสัตว์ นม ไข่

อาหารที่ควรรับประทานสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง คือ พืชผัก ต่างๆ วิตามิน เกลือแร่

 สาร สารแคโรทีนอยด์ สารไบโอฟลาโวนอยด์ โปลีฟีนอล ทั้งหลายรวมทั้งวิตามิน กลุ่มวิตามินเอ บี กลุ่มอี

อินโคลคาร์บินอล (Indole Carbinol) ซึ่งเป็นพวกผักตระกูลกะหล่ำ ผักกาด และผักคะน้า

อะลิกซิน ซึ่งได้แก่ พืชตระกูลกระเทียม หัวหอม หรือที่มีกลิ่นทั้งหลาย

อิลลิซิน (allicin) มีประโยชน์ในการต้านมะเร็ง

เคอร์คิวมิน (Curcuminoids) เป็นสารที่มีสีเหลือง อยู่ในขมิ้นชันที่ใช้แกง พวกเครื่องเทศ ขิง ข่า กระชาย ตะไคร้ มีสารที่มีคุณค่าทางอาหารแล้วยังมีสารต้านมะเร็งด้วย จะเป็นพวกน้ำมันหอมระเหย พริก พวกมีสี มีกลิ่น มีรสเผ็ดทั้งหลาย เป็นตัวขับน้ำดี ขับลม ขับสารพิษทั้งหลาย และตัวเองก็ช่วยทำลายและต้านมะเร็งด้วย

นอกจาก ผลไม้ ธัญพืช เครื่องเทศ เครื่องดื่ม เช่น ชาเขียว ชาอูล่ง หรือชาจีน ก็มีประโยชน์ เพราะมีสารแอนติออกซิแดนท์สูงเช่นเดียวกัน

ผักผลไม้ที่มีสารพวกวิตามินซี และไบโอฟลาโวนอยด์ เรากินผักผลไม้หลากหลายจะช่วยป้องกันมะเร็งได้

สารไลโคปีน (Lycopene) สารสีแดงสดที่มีอยู่ในมะเขือเทศ เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ที่ดี ต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก

 2. การปรับเปลี่ยนอารมณ์ช่วยต้านมะเร็งได้

จากงานวิจัยหลายชิ้นได้แสดงให้เห็นว่า อารมณ์หรือความเครียด ส่งผลให้ภูมิต้านทานร่างกายอ่อนแอลง ทางแพทย์แผนจีนได้กล่าวถึงการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในระดับเหมาะสม ไม่ทุกข์ ไม่หดหู่ ตื่นเต้น กลัว กังวล เพราะการที่อารมณ์แปรผันสูงจะก่อให้เกิดมะเร็ง ในอีกทางหนึ่งการศึกษาธรรมะในช่วงที่เป็นมะเร็งถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะช่วยกล่อมเกลาจิตใจ ให้สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ช่วยควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี

    เราคงเคยได้ยินกันว่ามีผู้ป่วยหลายคน หายจากการเป็นมะเร็งด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งด้านการบริโภคและ ทางด้านอารมณ์จนสามารถเอาชนะมะเร็งร้ายได้และมีชีวิตอยู่ยืนยาวจนมาถึงปัจจุบัน ดังนั้นถ้าใครมีคนรู้จักที่เป็นมะเร็งก็อย่างลืมเอาไปปรับใช้กันดูนะคะ ทีมงาน loveyou-thailand.com ก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนผ่าฟันอุปสรรค เอาชนะโรคร้ายให้ได้นะคะ และท้ายสุดหากคุณต้องการมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง แต่ไม่มีเวลาดูแล ให้ยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมช่วยดูแลคุณ ด้วยวิธีที่สะดวก เพราะฮั้วลักเซียมประกอบด้วยสุดยอดสมุนไพรถึง 99 ชนิด ช่วยบำรุง ฟื้นฟู ปรับสมดุล สุขภาพ ด้วยวิธีง่ายๆ เพียงเท่านี้คุณก็จะมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง ห่างไกลโรค


 ฮั้วลักเซียมคุยเรื่องโรค ตอน โรคเอสแอลอี SLE

SLE หรือ Systemic Lupus Erythematous หรือ ที่เรียกว่า โรคพุ่มพวง ที่เรียกว่าโรคพุ่มพวงเพราะโรคนี้เป็นสาเหตุให้นักร้องลูกทุ่งดัง พุ่มพวง ดวงจันทร์ ต้องเสียชีวิตไปเมื่อหลายสิบปีก่อน

โรคเอสแอลอี (SLE) เป็นโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติโดยแทนที่จะทำหน้าที่ต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกร่างกายกลับมาต่อต้านหรือทำลายเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายตนเอง จนก่อให้เกิดการอักเสบได้เกือบทุกอวัยวะของร่างกาย​ อวัยวะที่เกิดการอักเสบได้บ่อย ได้แก่ ผิวหนัง, ข้อ, ไต, ระบบเลือด, ระบบประสาท เป็นต้น

 

โรคเอสแอลอี SLE จะมีอาการแสดงแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล พบในหญิงมากกว่าชาย และมีความรุนแรงของโรคแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

 

อาการที่มักพบได้ คือ อาการต่อระบบต่างๆ ดังนี้

  •         อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
  •         ระบบผิวหนัง : มีผื่นแดงรูปผีเสื้อบริเวณใบหน้า หรือผื่นบริเวณอื่น
  •         ระบบเลือด :  มีเม็ดเลือดขาวต่ำ ติดเชื้อง่าย 
  •         ระบบข้อ : มีอาการปวดข้อทั่วร่างกาย อาจมีปวดกล้ามเนื้อร่วมด้วย
  •         ระบบไต : มีอาการบวมตามตัว ความดันโลหิตสูง
  •         ระบบประสาท : อาจมีอาการชักหรืออาการทางจิตได้
  •         ระบบปอด : เจ็บหน้าอกเวลาหายใจเข้าเกิดจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ
  •         ระบบทางเดินอาหาร : คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง

    

     การรักษา SLE โดยแพทย์แผนปัจจุบันทั่วไป นับว่าเป็นแนวทางที่ได้ผลดี สามารถลดอาการแสดงของโรคได้มากแต่ขณะเดียวกันยาแผนปัจจุบันที่เป็นยาเคมีมักจะทำให้เกิดอาการข้างเคียงมากด้วย

 

        ยาแผนปัจจุบันที่ใช้รักษา SLE ในปัจจุบันนี้ เช่น

 

  • กลุ่มยาต้านการอักเสบที่มใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal anti-inflammatory drugs) หรือ NSAIDs เป็นยาลดการอักเสบใช้รักษาไข้ ข้ออักเสบ ปวดข้อ ข้อบวม อาจใช้ร่วมกับยาชนิดอื่น ผลข้างเคียงของยาคือ โรคกระเพาะอาหาร ท้องเสีย และบวม

 

  • ยารักษามาลาเรีย มีการนำยารักษามาลาเรียมาใช้รักษา SLE โดยเฉพาะรักษาอาการเพลีย ปวดข้อ ผื่น และปอดอักเสบจาก SLE ได้แก่ยา hydrochloroquine, chloroquine (Aralen), and quinacrine (Atabrine) มีผลข้างเคียง คือ แน่นท้อง ตามัวลง(มีผลต่อการมองเห็น) และ กล้ามเนื้ออ่อนแรง

 

  • ยากลุ่ม Steroid มีผลข้างเคียงในระยะสั้นได้แก่ ตัวบวม หน้าบวม หากกินยานี้เป็นเวลานานจะเกิดผลข้างเคียงคือ กระดูกพรุน กระดูกบางลง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ต้อกระจก ติดเชื้อได้ง่าย

 

  • ยากดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressive) หากไม่สามารถควบคุมโรคได้แพทย์จะใช้ยากลุ่มนี้เพื่อกดภูมิคุ้มกันได้แก่ ยาazathioprine (Imuran) and cyclophosphamide (Cytoxan) ,methotrexate ยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงคือ มีโอกาสติดเชื้อได้มากขึ้น มีพิษต่อตับ มีบุตรยาก มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมากขึ้น

 

การรับประทานยาแผนปัจจุบันแม้จะสามารถควบคุมอาการของโรคได้ในระดับหนึ่งแต่ก็ยังไม่ใช่ วิธีที่ดีที่สุดในการรักษา เพราะทำให้ผู้ป่วยเกิดผลข้างเคียงมาก ซึ่งบางครั้งทำให้เกิดการท้อแท้ต่อการรักษาได้

การดูแลสุขภาพสำหรับผู้ป่วย SLE ควรใช้วิธีผสมผสาน โดยการรักษาทั้งุแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อความคุมอาการของโรคและเสริมด้วยการใช้ยาแผนโบราณโดยยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมซึ่งมีส่วนประกอบของสุดยอดสมุนไพร 99 ชนิด เพื่อปรับสมดุลภายในตัวผู้ป่วยและช่วยลดอาการข้างเคียงของยาแผนปัจจุบันและปรับปรุงระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ซึ่งในกรณีนี้ ผู้ป่วยได้ดื่มยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมควบคู่กับการรักษาแผนปัจจุบัน ทำให้ผู้ป่วยมีอาการ สดชื่น ไม่อ่อนเพลีย หน้าตาสดใส ซึ่งหากรับประทานยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และทำให้ผู้ป่วยได้รับยาแผนปัจจุบันน้อยลง และคุณภาพชีวิตผู้ป่วยดีขึ้น นอกจากนั้นแล้วตัวยาสมุนไพรในยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียม ยังช่วยปกป้อง บำรุง ฟื้นฟู ตับ ไต และ ระบบเลือด ระบบผิวหนัง ระบบภูมิคุ้มกันให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติของร่างกาย

        อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่เป็นโรค SLE นี้หลังจากที่ทำการรักษา ด้วยวิธีนี้แล้ว หาก อาการดีขึ้น ก็ควรรักษาร่างกายให้คงสภาพแข็งแรงนี้ไว้โดยดื่มยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมเป็นประจำสม่ำเสมอ เพราะหากละเลยนี้การดูแลร่างกายเมื่อร่างกาย อาการ SLE อาจกลับมากำเริบอีกได้ ดูวีดีโอผู้ป่วยเอสแอลอีที่ใช้ยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียม


 

ฮั้วลักเซียมคุยเรื่องโรค ตอน โรคริดสีดวงทวาร

  

โรคริดสีดวงทวารนับว่าเป็นโรคที่สร้างความทรมานให้กับผู้ป่วยมาก หลายคนเมื่อเป็นแล้วก็มักจะอายไม่กล้าไปหาหมอ วันนี้เรามารู้จักโรคริดสีดวงทวารและการรักษากันค่ะ

โรคริดสีดวงทวารแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ แบบภายนอกและแบบภายใน ริดสีดวงทวารแบบภายนอกส่วนใหญ่มีอาการบวม ปวด และระคายเคือง ส่วนริดสีดวงทวารแบบภายในสามารถแบ่งได้ตามการยื่นของก้อนริดสีดวงทวาร ดังนี้

 

ระดับ 1 ไม่มีการยื่นของก้อนริดสีดวงออกมา

ระดับ 2 มีการยื่นของก้อนออกมาขณะถ่าย แต่สามารถกลับเข้าไปได้เองทันที

ระดับ 3 มีการยื่นของก้อนออกมาขณะถ่าย ต้องดันก้อนกลับไปเอง

ระดับ 4 มีการยื่นของก้อนออก โดยไม่สามารถดันก้อนกลับเข้าไปได้

 

สาเหตุของริดสีดวงทวาร

  1.    ท้องผูก : อาการริดสีดวงทวารของคนส่วนใหญ่มักมาจากมีอาการท้องผูก ถ่ายไม่ออก เนื่องจากผู้ป่วยมีการรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย
  2.    ความเครียด : อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกและถ่ายไม่ออกตามมาได้

อาการของโรคริดสีดวงทวาร

 

 - มีก้อนเนื้อปลิ้นจากภายในขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ และยุบกลับเข้าไปเมื่อหยุดเบ่ง เมื่อเป็นมากต้องดันจึงจะกลับเข้าไป     และขั้นสุดท้ายอาจย้อยอยู่ภายนอกตลอดเวลา

- มีเลือดแดงสดหยดออกมา หรือพุ่งออกมาขณะเบ่งถ่าย หรือหลังถ่ายอุจจาระจำนวนแต่ละครั้งไม่มากนัก ไม่มีอาการปวด หรือแสบขอบทวาร อาการเหล่านี้จะเป็นๆหาย

- เมื่อเป็นมาก หลอดเลือดจะบวมมาก รวมทั้งเนื้อเยื่อเกี่ยวพันรอบหลอดเลือดจะบวมออกมาถึงปากทวารหนัก เห็นเป็นก้อนเนื้อนิ่ม ปลิ้นโผล่ออกมานอกทวารหนัก ซึ่งในภาวะเช่นนี้ จะก่ออาการเจ็บปวดได้

 

นอกจากอาการดังกล่าวแล้วผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการคันรอบทวารหนัก

อาจจะมาด้วยอาการมีมูกหลังจากถ่ายอุจาระ

เมื่อมีลิ่มเลือดเกิดในริดสีดวงที่โป่งพองจะทำให้เกิดอาการ บวม ปวด และทำให้เกิดอาการระคายเคืองบริเวณรอบปากทวารหนัก และคัน แต่มักไม่ค่อยพบมีเลือดออกจากติ่งเนื้อนี้

        การรักษาริดสีดวงทวารด้วยฮั้วลักเซียม

        โรคริดสีดวงทวารสามารถ รักษาได้หลายวิธี โดยใช้ยาแผนปัจจุบัน ยาเหน็บ การผ่าตัด การรัดหัวริดสีดวงทวาร และวิธีที่ง่ายที่สุดที่คนเราทั่วไปสามารถทำได้สะดวก คือ การใช้ยาสมุนไพร โดยการดื่มยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียม การดื่มยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมจะช่วยทำให้ระบบการทำงานของลำไส้ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ และตัวยาสมุนไพรในฮั้วลักเซียมจะเข้าไปช่วยทำให้ติ่งริดสีดวงที่มีการอักเสบ บวมนั้นค่อยๆ ยุบลง ช่วยให้ระบบการขับถ่ายดีขึ้น ซึ่งผู้ป่วยที่ใช้ยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมจะสามารถรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ประสบการณ์ผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวารที่ใช้ยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียม


 

ฮั้วลักเซียมคุยเรื่องโรค ตอน อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคอันตราย

เมื่อไม่นานมานี้ บางคนอาจได้ยินข่าวนักร้อง “สมิทธิ์ บัณฑิตย์” หนึ่งในดูโอ “สมิทธิ์ แอนด์ เชน” เป็นอัมพฤกษ์ซีกซ้ายเหตุเส้นเลือดในสมองตีบ  จู่ๆ เกิดอาการมึนศีรษะ ตาพร่า แขนและขาซ้ายอ่อนแรง เขาจึงได้ล้มตัวลงนอนเพราะเข้าใจว่าอาการจะดีขึ้น แต่ปรากฏว่าตั้งแต่นั้นก็ไม่สามารถลุกหรือขยับเขยื้อนตัวได้เลย

 ตามข่าวที่ปรากฏนี้ เราจะตามมาดูกันว่า อัมพฤกษ์ เกิดจากสาเหตุใด ? มีแนวทางการรักษาอย่างไร ?

        โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต (stroke) เกิดจากหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน ที่ส่งผลให้ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่ได้ ทำให้สมองขาดเลือดจึงส่งผลต่อบริเวณที่สมองส่วนนั้นควบคุมอยู่ เกิดอาการแขนขาใช้งานไม่ได้หรืออ่อนแรง โดยความผิดปกติของร่างกายที่เกิดขึ้นจะเป็นมากหรือน้อย ขึ้นกับว่าสมองส่วนใดขาดเลือดไปเลี้ยง และขาดเลือดไปเลี้ยงมากน้อยขนาดใด หากมีปัญหาหลอดเลือดอุดตัน หรือแตกเกิดกับสมองด้านขวา ร่างกายซีกซ้ายของผู้ป่วยจะอ่อนแรงเพราะสมองซีกขวาจะควบคุมร่างกายซีกซ้าย และในทางตรงข้าม หากมีการอุดตันหรือแตกของเส้นเลือดในสมองด้านซ้าย ร่างกายซีกขวาของผู้ป่วยก็จะอ่อนแรง

        อัมพฤกษ์ต่างจากอัมพาตอย่างไร

        อัมพฤกษ์และอัมพาตจะเป็นอาการเหมือนกันแต่ อัมพฤกษ์นั้นจะรุนแรงน้อยกว่า คือ ร่างกายสามารถขยับได้บ้างแต่ อาการอัมพาตนั้น ร่างกายจะขยับไม่ได้เลย

        การดูแลและป้องกันอัมพฤกษ์ อัมพาต

  1.    ออกกำลังกายอยู่เสมอ
  2.    พยายามอย่าให้เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
  3.    รับประทานอาหารที่หลากหลายและมีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง
  4.    ไม่สูบบุหรี่
  5.    ผู้ที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์แล้วควรทำกายภาพบำบัดสม่ำเสมอเพื่อฟื้นฟูร่างกายและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

การดูแลผู้ป่วยอัมพฤกษ์ด้วยยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียม

        ฮั้วลักเซียมเป็นยาน้ำสมุนไพรที่ช่วยฟื้นฟู บำรุง ระบบต่างๆ ของร่างกายให้กลับมาทำงานได้เป็นปกติ ในผู้ป่วยอัมพฤกษ์ การดื่มยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมจะช่วยให้ระบบหลอดเลือดไหลเวียนได้สะดวกขึ้น ปรับสมดุลของระบบเลือด ช่วยลดการอุดตันของหลอดเลือดเป็นผลให้ออกซิเจนจากเลือดสามารถไปเลี้ยงสมองในส่วนที่ควบคุมดูแลการเคลื่อนไหวร่างกายและส่วนอื่นๆซึ่งส่งผลให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตามการดูแลรักษาผู้ป่วยอัมพฤกษ์นี้อาจต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูร่างกาย และหากผู้ป่วยมีการฝึกกายภาพบำบัดร่วมด้วยก็จะทำให้ร่างกายสามารถฟื้นฟูได้เร็วยิ่งขึ้น ดูประสบการณ์ผู้ป่วยอัมพฤกษ์ที่ใช้ยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียม


ฮั้วลักเซียมคุยเรื่องโรค ตอน โรคข้อเข่าเสื่อม

        เรามักเคยได้ยินคนแก่หรือคนสูงอายุ พูดกันบ่อยๆ ว่า “ปวดเข่าจังเลย” จะลุกจะนั่งก็ลำบาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการยืนหรือเดิน ยิ่งไกลๆ ด้วยแล้วผู้คนกลุ่มนี้จะส่ายหน้าหนีทันที วันนี้เราจะมาดูกันว่าโรคข้อเข่าเสื่อมเกิดจากอะไร และมีแนวทางแก้ไขอย่างไร

        โรคข้อเข่าเสื่อม เกิดจากภาวะที่มีการเสื่อมของข้อ เกิดจากการใช้งานมานาน เมื่อเกิดความเสื่อมของข้อ ร่างกายจะปรับตัวโดยสร้างกระดูกขึ้นมาใหม่ ทำให้มีการงอกของกระดูกเกิดขึ้น นอกจากนั้น กระดูกอ่อนซึ่งอยู่บริเวณข้อต่อจะมีการสึกหรอในระหว่างที่มีการเคลื่อนไหว และหากมีการอักเสบจะทำให้มีน้ำมาหล่อเลี้ยงบริเวณข้อเข่ามากขึ้น จะทำให้มีอาการบวม ปวด ซึ่งจะทำให้เกิดอาการเจ็บข้อเวลาเดินและอาจมีเสียงก๊อกแก๊กจากการเสียดสี มักเกิดกับผู้สูงอายุ และผู้ที่มีน้ำหนักตัวเยอะ

 

        โรคข้อเข่าเสื่อมมีอาการอย่างไร ?

-      ปวดเข่า

-      ข้อเข่ายึดติด ไม่สามารถเหยียดหรืองอเข่าได้สุด

-      หากเกิดการอักเสบจะมีอาการบวมที่ข้อเข่า

-      ขณะเคลื่อนไหวอาจมีเสียงจากการเสียดสี

-      เกิดกระดูกโก่งหรืองอ

 

ปัจจัยที่ทำให้เกิดข้อเข่าเสื่อม

-       อายุที่มากขึ้นมีโอกาสทำให้เกิดความเสื่อมของข้อเข่าได้มากขึ้น

-      น้ำหนักตัวที่มาก ทำให้ข้อเข่าต้องรับน้ำหนักมาก ทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น

-      ในผู้หญิงจะพบโรคข้อเข่าเสื่อมได้มากกว่าผู้ชาย

-      ท่านั่ง การนั่งยองๆ หรือพับเพียบจะทำให้เกิดข้อเข่าเเสื่อมได้มากกว่า

 

การป้องกันและรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม

  1. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเสริมสร้างให้ข้อเข่าแข็งแรง
  2. ลดน้ำหนักตัวเพื่อลดแรงกดทับซึ่งจะทำให้ข้อเข่าเสื่อมช้าลง
  3. การรับประทานยาแก้ปวด

 

การทานยาแก้ปวดสามารถบรรเทาอาการปวดได้ เพียงชั่วคราวเท่านั้น พอยาหมดฤทธิ์ อาการปวดก็กลับมาเป็นอีก ทำให้ผู้ป่วยต้องทานยาอีก ซึ่งเมื่อเช่นนี้ทำให้ผู้ป่วยต้องได้รับยาติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งยาในกลุ่มแก้ปวดนี้ มักเป็น(Diclofenac),ไอบูโปรเฟน (Ibuproofen) ซึ่งการรักษาเช่นนี้เป็นการรักษาที่ปลายเหตุเท่านั้น และทำให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยากลุ่มนี้ เช่น ทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารอาจทำให้เกิดอาการแผลในกระเพาะอาหารได้ ดังนั้นแพทย์จึงต้องจ่ายยาป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารตามมาอีก เช่น โอมีพราโซล (omeprazole), แพนโตพราโซล (pantoprazole), ราบีพราโซล (rabeprazole) หรือจ่ายยาลดกรด (antacid) ตามมา จะเห็นได้ว่าเพียงเพื่อรักษาอาการปวดข้อเข่า เราต้องได้รับยาอย่างน้อย 2 ตัว คือ ยาบรรเทาอาการปวด และยาลดการเกิดแผลในกระเพาะ(เพื่อลดผลข้างเคียงจากยาแก้ปวด) เป็นการได้รับยาเกินความจำเป็นทั้งที่แม้เราจะรับประทานยาแก้ปวดดังกล่าว อาการปวดก็มิได้หายไปอย่างถาวร มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ หรือไม่ การรับประทานยาสมุนไพรก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง อย่างไรก็ตามการเลือกยาสมุนไพรก็ต้องระวัง เพราะบางตัวอาจผสมสารสเตียรอยด์ที่ทำให้เกิดผลเสียแก่ร่างกายตามมาได้

ยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมประกอบด้วย สมุนไพร 99 ชนิด ช่วยฟื้นฟู บำรุง ปรับสมดุลร่างกายจากความเสื่อมต่างๆ ฟังเรื่องราวผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมได้ที่นี่


 

ฮั้วลักเซียมคุยเรื่องโรค ตอน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)

        โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง (auto immune) ชนิดหนึ่ง เป็นกลุ่มอาการของโรคที่มีการอักเสบของทุกระบบในร่างกาย แต่จะมีการอักเสบเด่นชัดที่ เยื่อบุข้อ และ เยื่อบุเส้นเอ็น ลักษณะสำคัญของโรคนี้ได้แก่ มีการอักเสบของข้อ หลาย ๆ ข้อ พร้อม ๆ กัน เป็นเรื้อรังติดต่อกันนานเป็นเวลาหลายเดือนหรือเป็นปี

        อาการแสดงของโรครูมาตอยด์

  1. มีการอักเสบเรื้อรังของข้อหลาย ๆ ข้อ ทั้งสองข้างพร้อม ๆ กัน ติดต่อกันไม่ต่ำกว่า 6 อาทิตย์ 
  2. ข้ออักเสบ พบบ่อยที่บริเวณ ข้อมือ ข้อโคนนิ้วมือ ข้อกลางนิ้วมือ ข้อเข่า ข้อเท้า ซึ่งจะมีอาการปวด บวม และกดเจ็บตามข้อต่าง ๆ 
  3. มีอาการข้อฝืด ข้อแข็ง เคลื่อนไหวลำบาก มักเป็นในช่วงตื่นนอนตอนเช้ามักต้องใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมงจึงจะเริ่มขยับข้อได้ ดีขึ้น ในช่วงบ่าย ๆ มักจะขยับข้อได้เป็นปกติ 
  4. พบอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เบื่ออาหาร กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดเมื่อยหมดทั้งตัว น้ำหนักลด มีไข้ต่ำ ๆ ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ หลอดเลือดอักเสบ ปุ่มรูมาตอยด์ใต้ผิวหนัง และภาวะเลือดจาง 

ผู้ป่วยโรคนี้อาจมีอาการแสดงของการอักเสบที่อวัยวะอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ปอดอักเสบ หลอดเลือดอักเสบ

ผู้ที่ป่วยเป็นรูมาตอยด์หากไม่ได้รับการรักษาก็อาจทำให้เกิดข้อผิดรูป หรือ พิการได้

การรักษาโรครูมาตอยด์ทางแพทย์แผนปัจจุบันมักให้ยาแก้ปวดที่มิใช่สเตียรอยด์(NSAIDs), ยาสเตียรอยด์ และยากดภูมิคุ้มกัน ซึ่งผู้ป่วยที่มีอาการของโรครูมาตอยด์จะต้องรักษาเป็นระยะเวลายาวนาน ทำให้ต้องรับยาเหล่านี้เป็นเวลานานด้วยซึ่งส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงของยา เช่น กระดูกพรุน กระดูกบาง กล้ามเนื้ออ่อนแรง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ร่างกายมีโอกาสติดเชื้อสูงขึ้น ซึงการรักษาโดยวิธีนี้มิใช่การรักษาที่สาเหตุของโรค เป็นเพียงการรักษาเพื่อบรรเทาอาการเพียงชั่วคราว ทางเลือกที่ดีกว่าในการรักษาโรคที่ต้องใช้การรักษาในระยะยาว คือ การรักษาโรคโดยการปรับระบบการทำงานของร่างกายให้เป็นปกติโดยการใช้สมุนไพร เช่น การดื่มยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมที่สกัดเอาสารสำคัญออกมาจากสมุนไพรทั้ง 88 ชนิด ออกมาอยู่ในรูปยาน้ำสมุนไพร ทำให้ใช้สะดวก ดื่มง่าย ช่วยทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายสามารถทำงานได้ตามปกติ ทำให้อาการปวดตามข้อเบาลง หากดื่มต่อเนื่องสม่ำเสมอจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ฟื้นฟู บำรุงอวัยวะต่างๆ การใช้ยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมร่วมกับการรับยาโรงพยาบาล หากรับประทานควบคู่กัน หลังดื่มยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมแล้วอาการปวดตามข้อก็จะดีขึ้น ซึ่งแพทย์ก็จะลดการใช้ยาแผนปัจจุบันจากโรงพยาบาลเอง ซึ่งทำให้ลดการเกิดผลข้างเคียงจากยาได้อีกด้วย

        การรักษาแบบแผนปัจจุบัน แม้ว่าจะให้ผลโดยลดอาการปวดได้ค่อนข้างรวดเร็วแต่มีข้อเสียที่เรารู้กันดีว่า ผลข้างเคียงค่อนข้างมาก ซึ่งยาแผนปัจจุบันมักทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อระบบต่างๆ เช่น ตับ ไต หัวใจ ซึ่งทำให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมาไม่รู้จบ หลังรักษาโรคที่เป็นอยู่แล้วยังต้องมารักษาโรคที่เกิดจากผลข้างเคียงของยาอีก ยิ่งรักษานาน ก็ยิ่งได้นับยามากขึ้น เมื่อได้รับยามากขึ้นก็ยิ่งได้ผลข้างเคียงจากยามากขึ้นเป็นเงาตามตัว 


 

ฮั้วลักเซียมคุยเรื่องโรค ตอน โรคเบาหวาน

 ทำไมถึงเรียกว่า “โรคเบาหวาน” ถ้าแปลตรงตัวก็คือ ปัสสาวะหวาน เนื่องจากมีน้ำตาลในปัสสาวะนั่นเอง

        โรคเบาหวาน เกิดจาก ตับอ่อนซึ่งมีหน้าที่สร้างฮอร์โมนอินซูลินได้น้อย หรือไม่เพียงพอหรือไม่ได้เลย โดยฮอร์โมนอินซูลิน มีหน้าที่ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาลมาใช้เป็นพลังงาน เมื่ออินซูลินในร่างกายไม่พอ น้ำตาลก็ไม่ถูกนำไปใช้ ทำให้เกิดการคั่งของน้ำตาลในเลือดและอวัยวะต่างๆ เมื่อน้ำตาลคั่งในเลือดมากๆ ก็จะเล็ดลอดผ่านออกมาในปัสสาวะได้

         อาการทั่วไปของโรคเบาหวาน

ผู้ป่วยเบาหวาน จะมีอาการปัสสาวะบ่อยและมาก จากน้ำตาลที่ออกมาทางไตจะดึงเอาน้ำจากเลือดออกมาด้วย จึงทำให้มีปัสสาวะมากกว่าปกติ และเมื่อปัสสาวะมาก ก็ทำให้รู้สึกกระหายน้ำ ต้องคอยดื่มน้ำบ่อยๆ และด้วยความที่ผู้ป่วยไม่สามารถนำน้ำตาลมาเผาผลาญเป็นพลังงาน ร่างกายจึงหันมาเผาผลาญกล้ามเนื้อและไขมันแทน ทำให้ผอม อ่อนเพลีย ไม่มีแรง นอกจากนี้ การมีน้ำตาลคั่งอยู่ในอวัยวะต่างๆ จึงทำให้อวัยวะต่างๆ เกิดความผิดปกติ และนำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนมากมาย

สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่ตั้งครรภ์ อาจทำให้เด็กที่เกิดมามีน้ำหนักตัวมากผิดปกติ หรือ อาจทำให้ทารกในครรภ์เสียชีวิตได้

โรคแทรกซ้อนของผู้ป่วยเบาหวาน

1. ตา อาจเป็นต้อกระจกก่อนวัย ประสาทตาหรือจอตา (retina) เสื่อม หรือเลือดออกในน้ำวุ้นลูกตา (vitreous hemorrhage) ทำให้มีอาการตามัวลงเรื่อยๆ หรือมองเห็นจุดดำลอยไปลอยมา และอาจทำให้ตาบอดในที่สุด

 

2. ระบบประสาท ผู้ป่วยอาจเป็นปลายประสาทอักเสบ มีอาการชาหรือปวดร้อนตามปลายมือปลายเท้า เป็นแผลแล้วแผลหายยาก ผู้ป่วยบางคนมีแผลเกิดขึ้นที่เท้าได้ง่าย อาจลุกลามจนเท้าเน่า บางคนอาจมีอาการวิงเวียนเนื่องจากมีภาวะความดันตกในท่ายืน บางคนอาจไม่มีความรู้สึกทางเพศ ท้องเดินตอนกลางคืนบ่อย หรือกระเพาะปัสสาวะไม่ทำงาน (กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือไม่มีแรงเบ่งปัสสาวะ)

 

        3. ไต มักจะเสื่อม จนเกิดภาวะไตวาย มีอาการ บวม ซีด ความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นสาเหตุการตายของผู้ป่วยเบาหวานที่พบได้ค่อนข้างบ่อย

 

        4. ผนังหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) ทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง , อัมพาต , โรคหัวใจขาดเลือด ถ้าหลอดเลือดที่เท้าตีบแข็ง เลือดไปเลี้ยงเท้าไม่พอ อาจทำให้เท้าเย็นเป็นตะคริว หรือปวดขณะเดินมากๆ หรืออาจทำให้เป็นแผลหายยาก หรือเท้าเน่า (ซึ่งอาจเกิดร่วมกับการติดเชื้อ)

 

        5. เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากภูมิต้านทานโรคต่ำ เช่น วัณโรคปอด, กระเพาะปัสสาวะอักเสบ, กรวยไตอักเสบ, ช่องคลอดอักเสบ, เป็นฝีพุพองบ่อย, เท้าเป็นแผลซึ่งอาจลุกลามจนเท้าเน่า (อาจต้องตัดนิ้วหรือตัดขา) เป็นต้น

 

        6. ภาวะคีโตซิส (Ketosis) พบเฉพาะในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน ที่ขาดการฉีดอินซูลินนานๆ ร่างกายจะมีการคั่งของสารคีโตน ซึ่งเกิดจากการเผาผลาญไขมัน ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน กระหายน้ำอย่างมาก หายใจหอบลึก และลมหายใจมีกลิ่นหอม มีไข้ กระวนกระวาย มีภาวะขาดน้ำรุนแรง (ตาโบ๋ หนังเหี่ยว ความดันต่ำ ชีพจรเบาเร็ว) อาจมีอาการปวดท้อง ท้องเดิน ผู้ป่วยจะซึมลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดสติ หากรักษาไม่ทันอาจตายได้

 

จะเห็นได้ว่าโรคเบาหวาน นับได้ว่าเป็นโรคที่อันตรายมากเนื่องจากเมื่อเป็นแล้วหากไม่รักษาหรือปล่อยเอาไว้นานก็จะทำให้เป็นโรคแทรกซ้อนอื่นตามมา ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ซึ่งปัจจุบันคนไทยเป็นโรคนี้กันเยอะมาก ทำให้ต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงจากโรคเบาหวานและโรคแทรกซ้อนที่ตามมาอีก 

การดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวาน

  1.    ระมัดระวังในการรับประทานอาหาร โดยลดอาหารพวกข้าว แป้ง น้ำตาล รวมทั้งของทอดและไขมันต่างๆ เพื่อควบคุมน้ำหนักไม่ให้มากเกินไป
  2.    ออกกำลังกายอยู่เสมอ
  3.    หมั่นดูแลร่างกายอยู่เสมอ หากมีบาดแผลต้องรีบรักษา ก่อนแผลจะลุกลาม

การดูแลเบาหวานด้วยยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียม

        โรคเบาหวานแม้ว่าจะเป็นโรคเรื้อรังที่รักษายาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางรักษา การใช้ยาสมุนไพรนับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดี เนื่องจากไม่มีสารเคมีเจือปน ผู้ป่วยสามารถทานควบคู่กับยาแผนปัจจุบันที่ได้รับจากโรงพยาบาลได้ ยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมประกอบด้วยตัวยาสมุนไพรทั้งหมด 88 ชนิด โดยมีตัวยาสมุนไพรที่ใช้ลดระดับน้ำตาลในเลือดและดูแลเบาหวานอยู่หลายตัว เช่น

ตังถั่งเช่า : มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา โดยสาร CF-F30 ซึ่งเป็น polysaccharide ที่มีอยู่ในตังถั่งเช่า จะไปเพิ่มการเผาผลาญ (metabolism) ของ น้ำตาลกลูโคสและเพิ่ม insulin sensitivity

 ปักคี้ผิวดำ(Milkvetch Root) ,คักฮก, ห่วยซัว,เก่าคี้จี้,หวู่เจ๋ยยี ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ได้อีกด้วย

สมุนไพรเหล่านี้ได้ถูกรวมอยู่ในยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมแล้ว ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานลดลง และนอกจากนั้นยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมยังมีสมุนไพรตัวอื่นๆ ที่ช่วยป้องกัน บำรุง ฟื้นฟู ไต ซึ่งเป็นการลดผลแทรกซ้อนการเกิดโรคไตในผู้ป่วยเบาหวานได้อีกด้วย

รู้เช่นนี้แล้วก็อย่าลืมหันมาดื่มยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมกันนะคะ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ห่างไกลจากโรค

ด้วยความปรารถนาดีจาก www.loveyou-thailand.com พบกับเนื้อหาสาระดีๆ เกี่ยวกับยาน้ำสมนไพรฮั้วลักเซียมได้ที่นี่ที่เดียวค่ะ


 

ฮั้วลักเซียมคุยเรื่องโรค ตอน โรคไต

 

รู้จักโรคไตเรื้อรัง ทางแพทย์แผนปัจจุบัน


        โรคไตเรื้อรัง จะแสดงอาการออกมาในลักษณะที่เรียกกันว่า ไตเสื่อมหรือไตวาย ซึ่งหมายถึงภาวะที่มีการทำงานของไตลดลง จนเกิดการคั่งของเสียประเภทยูเรีย และของเสียอื่นๆ โดยปกติเราจะรู้ว่าไตเสื่อมมากหรือน้อยได้ด้วยการเจาะเลือด และวัดค่าของเสียบียูเอ็น (blood urea nitrogen หรือ BUN)และค่าครีอะตินีน (creatinine หรือ Cr) ถ้าค่า BUN และ Cr สูงกว่าค่าปกติมาก แสดงว่าไตมีความเสื่อมมาก 

    

ชนิดของภาวะไตวาย

  1. ไตวายเฉียบพลัน คือ ภาวะที่ไตสามารถฟื้นกลับมาทำงานได้อีกหากฟื้นฟู บำรงรักษาไตจนหายเป็นปกติ
  2. ไตวายเรื้อรัง คือ ภาวะที่ไตไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้

 

สาเหตุของโรคไต

  1.    เกิดจากโรคอื่นๆ เช่น ไตอักเสบหรือนิ่วในไต เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
  2.    อาหาร: การทานอาหารเค็มจัด หรือ การทานอาหารที่มีโปรตีนมากเกินไปเป็นระยะเวลานานทำให้ไตทำงานหนักทำให้เกิดปัญหาไตเสื่อมหรือไตวายได้
  3.    ยา : การรับประทานยาบางชนิดติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
  4.    สิ่งแวดล้อม: เกิดจากการได้รับสารพิษติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน

   

อาการของโรคไต

ผู้ป่วยที่เป็นโรคไต จะมีอาการ ซีด บวม อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ปวดหลังหรือปวดบั้นเอว เบื่ออาหาร ผิวแห้ง คลื่นไส้ อาเจียน สะอึก ซึม ความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยบางราย มีอาการปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะน้อยลง หรือปัสสาวะบ่อยได้ ในบางรายที่มีอาการหนัก อาจทำให้มีอาการหัวใจวาย หรือเจ็บหน้าอกจากเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ถ้าไม่รักษาอาจชัก ซึมลง หมดสติและเสียชีวิตได้ 

 

        ทำไมบางอาการที่ผู้ป่วยมาพบแพทย์ แล้วรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันไม่หายหรือหายเพียงชั่วคราวพอหยุดยาก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก หรือ เป็นโรคแปลกๆ ที่หาสาเหตุไม่ได้ และรักษาไม่หาย จนคุณหมดกำลังใจ และคิดว่าชาตินี้คงต้องเป็นแบบนี้ตลอด หากคุณเป็นเช่นนี้อย่างเพิ่งท้อใจหรือสิ้นหวัง เพราะสิ่งที่คุณรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันอาจเป็นการรักษาไม่ตรงจุด หรือไม่ได้รักษาที่สาเหตุของปัญหา เพราะบางอาการที่แสดงออกบางอย่างไม่ได้เกิดจากระบบนั้นๆ เช่น หาก ไปพบแพทย์แผนปัจจุบันด้วยอาการ ผมหงอก เวียนศีรษะ ความจำเสื่อม ปวดเมื่อยเอวและเข่า เสื่อมสมรรถภาพ อ่อนเพลียเรื้อรังและปัสสาวะบ่อย แพทย์อาจตรวจวิเคราะห์คุณแล้วจ่ายยารักษาตามอาการมาสัก 5-6 ตัว หรือมากกว่านั้น หลังจากได้รับยากลับบ้านคุณก็ทานยาอย่างเคร่งครัดตามแพทย์สั่งจ่าย แต่ทำไมกินยาหมดแล้วอาการดังกล่าวก็ยังไม่หายสักที ทำไม??? สาเหตุก็คือ คุณรักษาไม่ตรงจุด คุณไม่ได้รักษาที่สาเหตุ

อาการที่คุณเป็นอยู่ คือ ภาวะไตอ่อนแอ ระบบไตในศาสตร์แพทย์แผนจีนจะมีความหมายที่กว้างกว่าทางการแพทย์แผนปัจจุบันมาก ระบบไตในทางแพทย์จีน หมายถึง ระบบที่ทำหน้าที่สร้างและควบคุมปัสสาวะ ระบบฮอร์โมน ระบบการสืบพันธ์ และปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต และความเสื่อมต่างๆ ดังนั้นหากบำรุงไตให้แข็งแรงก็จะสามารถป้องกันการเกิดโรคจากความเสื่อมต่างๆ ได้

 

ไตมีหน้าที่อะไรบ้าง

        ทำไมการบำรุงไตจึงช่วยป้องกันหรือรักษาโรคต่างๆ ได้ มาดูหน้าที่ของไตกัน

  1. ไตช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย
  2. ไตช่วยควบคุมความสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย เช่น หากปริมาณโซเดียมสูง จะทำให้มีน้ำในร่างกายมากและส่งผลให้ความดันโลหิตสูงตามมา
  3. ไตช่วยควบคุมสมดุลของกรดด่าง (pH) ในร่างกาย
  4. ไตช่วยควบคุมความดันโลหิต
  5. ไตช่วยสร้างและควบคุมฮอร์โมน

-      Erythropoietin : ช่วยกระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดง

-      Renin และ Prostaglandin : ช่วยควบคุมความดันเลือดให้ปกติ

  1. ไตควบคุมการสร้างวิตามินดี แคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยให้กระดูกแข็งแรง

นอกจากนั้นแล้วด้านบนของไตทั้ง 2 ข้างยังมีต่อมเล็กๆ ลักษณะรูปร่างคล้ายหมวก หรือที่เรียกว่า ต่อมหมวกไต อีกด้วยโดย

ต่อมหมวกไต(adrenal gland) ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนสำคัญๆหลายชนิด เช่น

-      อะดรีนาลิน (adrenaline): มีหน้าที่ควบคุมการไหลเวียนของโลหิตและการหดตัวของหลอดเลือด

-      กลูโคคอร์ติคอยด์ (glucocorticoid) : เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมเมตาบอลิซึมของน้ำตาล ไขมัน ต่อต้านการอักเสบ

-      อัลโดสเตอโรน (aldosterone): เพิ่มการดูดกลับของเกลือในไต

-      เทสโทสเตอโรน (testosterone) : เพิ่มลักษณะของร่างกายที่เป็นเพศชายและการเติบโต

-      อีพิเนฟฟริน (Epinephrine) และนอร์อีพิเนฟฟริน (norepinephrine) มีหน้าที่เพิ่มระดับน้ำตาลและกรดไขมันในเลือด เพิ่มอัตราเมตาบอลิซึม เพิ่มการเต้นของหัวใจ เพิ่มการบีบตัวของเส้นเลือด

จากทั้งหมดจะเห็นได้ว่าระบบไตมีความสำคัญมาก ถ้าเกิดความผิดปกติกับระบบไตแล้วจะทำให้เกิดความผิดปกติกับร่างกายและเกิดโรคอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย ดังนั้นก็คงไม่ผิดที่จะกล่าวว่า “ไตเป็นพื้นฐานของชีวิต” ดังนั้นการบำรุงไตให้แข็งแรงจึงสำคัญมาก เป็นการป้องกันและบำบัดรักษาอาการผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้หลายๆ อย่างพร้อมๆกัน ซึ่งแตกต่างจากแพทย์แผนปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง

        ภาวะไตอ่อนแอหรือไตเสื่อม ในทางการแพทย์จีนหมายถึงสภาพไตเสื่อมลง ไม่แข็งแรงเท่าที่ควร ทำให้ความสามารถในการขับน้ำและของเสียของไตลดลง ส่งผลกระทบต่อความสมดุลของเกลือแร่และความเป็นกรดด่างของร่างกาย รวมทั้งเกิดภาวะขาดฮอร์โมนชนิดสำคัญที่สร้างจากไตและต่อมหมวกไตด้วย การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้จะทำให้เกิดอาการผิดปกติของอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย หากไม่มีการบำบัดรักษาก็จะแก่ก่อนวัยและพัฒนากลายเป็นโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคระบบหลอดเลือดและหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน โรคเกาต์ อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น หรืออาจพัฒนากลายเป็นไตอักเสบ หรือไตวายได้ในที่สุด

        ภาวะไตอ่อนแอหรือไตเสื่อม ในทางแพทย์แผนจีนนั้นไม่สามารถวัดได้จากค่า BUN หรือ Creatinine จึงเป็นสาเหตุให้ทำให้เมื่อไปหาแพทย์แผนปัจจุบันหรือตรวจร่างกายแล้วไม่พบความผิดปกติ แต่ในความเป็นจริงนั้นไตของคุณได้เสื่อมลงไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ และความเสื่อมนั้นได้ทำให้เกิดโรคต่างๆ แก่ร่างกายคุณตามมาอีกมากมาย ซึ่งความผิดปกติของไตที่เกิดขึ้นนั้นกว่าจะตรวจวัดได้จากค่า Bun หรือ Creatinin ก็ทำให้ไตคุณเสื่อมหรืออ่อนแอไปมากเกินกว่าจะเยียวยาให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม และหากคุณรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันคุณจะยิ่งได้รับยารักษาตามอาการอีกมากมายนับสิบชนิด ซึ่งเป็นการยิ่งซ้ำเติมให้ไตทำงานแย่ลงไปอีกจากการสะสมพิษจากยาเคมีที่ตับ และไต และผลข้างเคียงจากยาแต่ละชนิดอีก จึงเป็นวงจรของการเกิดโรคอีกไม่รู้จบ

        อาการแสดงของภาวะไตอ่อนแอ

       1. ระบบทางเดินปัสสาวะ

           - ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะตอนกลางคืนต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ

           - ปัสสาวะไม่สุด กะปริดกะปรอย

           - อั้นปัสสาวะไม่อยู่

           - น้ำปัสสาวะขุ่นหรือมีฟอง

           - อาการบวมน้ำ (ใช้นิ้วกดบริเวณหน้าแข้งแล้วมีรอยบุ๋ม)

        2. ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก

           - ปวดหลังปวดเอว แขนขาไม่มีเรี่ยวแรง

           - ชาปลายมือปลายเท้า

           - เป็นตะคริวบ่อย

           - ปวดข้อเป็นประจำ

           - เป็นโรคเกาต์

           - ภาวะกระดูกพรุน

           3. ระบบประสาทและอารมณ์

           - เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียง่าย

           - วิงเวียนศีรษะเป็นประจำ

           - นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท ตื่นตอนกลางคืนเป็นประจำ

           - แขนขากระตุกในขณะนอนหลับหรือสะดุ้งตื่นเป็นประจำ

           - ฝันทั้งคืน ตื่นเช้าขึ้นมาไม่สดชื่น ไม่อยากลุกจากที่นอน

           4. ระบบผิวหนังและความแก่

           - ผิวหน้าหมองคล้ำ หยาบกร้าน ไม่มีเลือดฝาด มีฝ้าบนใบหน้า

           - ใต้ตาหมองคล้ำหรือบวม

           - หน้าอกหย่อนยาน

           - ผมหงอกก่อนวัย

           - ผมร่วงเกิน 50 เส้นต่อวันหรือร่วงเป็นจำนวนมากตอนสระผม

           - น้ำหนักขึ้นหรือลงอย่างฮวบฮาบ

          5. อาการทางหู-ตา

           - หูอื้อหรือไม่ค่อยได้ยิน ต้องให้คนอื่นพูดซ้ำเป็นประจำ

           - ตาลาย ตาพร่า

           - โรคเมเนียส์ (น้ำในหูไม่เท่ากัน)

        6. ระบบทางเดินอาหาร

- เบื่ออาหาร

        - ลำไส้แปรปรวน

  1. ระบบภูมิต้านทาน

- ภูมิต้านทานต่ำ ป่วยง่าย

       8. หย่อนสมรรถภาพทางเพศหรือความต้องการทางเพศลดลง

       - ฝันเปียกมากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือหลั่งเร็วเป็นประจำ

       - ประจำเดือนมาผิดปกติ

       - มีบุตรยากหรือแท้งบุตร

       - เข้าสู่วัยทองก่อนวัยอันควร

 

      หากคุณมีมากกว่า 2 อาการแสดงว่าไตของคุณเสื่อมลงแล้ว ยิ่งมีอาการมากเท่าไรไตก็ยิ่งเสื่อมโทรมลงมากเท่านั้น ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายของสุขภาพที่คุณควรจะหันมาใส่ใจอย่างจริงจัง

        หยุดวงจรของการเกิดสารพัดโรคด้วยการบำรุงไตให้แข็งแรง ตั่งแต่วันนี้ก่อนจะสายเกินไป

 

การบำรุง ดูแล ฟื้นฟูไต

โรคไตนับว่าเป็นโรคเรื้อรังอีกหนึ่งโรคที่ไม่มีใครอยากเป็น เพราะหากเป็นแล้ว การรักษาต้องใช้เวลานานและเสียค่าใช้จ่ายสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องทำการฟอกไตด้วยแล้วยิ่งทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการท้อแท้ได้ เพราะต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยและค่าใช้จ่ายที่สูง

การบำรุง ดูแล ฟื้นฟูไต อีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ง่ายและสะดวก คือการใช้ยาสมุนไพรที่มีส่วนผสมที่ช่วยในการ บำรุง ฟื้นฟู ไต ให้กลับมาทำงานได้ตามปกติ

 

สมุนไพรจีนที่มีสรรพคุณช่วยบำรุง ฟื้นฟู ไต ที่มีอยู่ในยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียม

  1.    ตังถั่งเช่า หรือ หญ้าหนอน
  2.    คักฮก
  3.    เจี่ยเต็กย้ง
  4.    ซัวเอี้ยะ
  5.    เสกตี่
  6.    งู่ฉิก
  7.    ห่วยซัว
  8.    โต่วต๋ง
  9.    ม้าน้ำ
  10.         กิมเอ็งจี้
  11.         โหงวนี่จี้
  12.         โกวซีจี้
  13.         พ่อสิ่วโคว
  14.         ปาเก็กเที่ยง
  15.         ไช้ง้อกง

 

นอกจากนั้น ในยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมยังมีส่วนประกอบของ ฮกพุ่งจี้ ที่ช่วยรักษาอาการปัสสาวะ กระปริดกระปรอย ได้อีกด้วย จะเห็นได้ยาในยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมมีส่วนประกอบของสมุนไพรจีนที่ช่วย บำรุง ฟื้นฟู ไต ถึง 15 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดจะเข้าไปช่วยบำรุง ฟื้นฟู ไต ให้ค่อยๆ ฟื้นสภาพกลับมาทำงานเป็นปกติ โดยผู้ป่วยโรคไต ควรดื่มต่อเนื่องไป จะสามารถรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้อย่างชัดเจน นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารที่จะไปล้างยาด้วยเพื่อให้ยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมสามารถเข้าไป ฟื้นฟู บำรุง ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ


 

ฮั้วลักเซียมคุยเรื่องโรค ตอน ฮั้วลักเซียมสุดยอดสมุนไพรเสริมภูมิต้านทาน

ภูมิคุ้มกันกับการเกิดโรค

        ภูมิคุ้มกันมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคอย่างไร หลายคนอาจยังสงสัย วันนี้  webmaster จะมาให้ความกระจ่างกัน

        ระบบภูมิคุ้มกัน หรือ ภูมิต้านทานก็คือ ระบบที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่รุกล้ำเข้ามาทำให้เกิดโรคหรืออันตรายแก่ร่างกายเรา

ดังนั้นความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันก็จะทำให้ร่างกายเกิดโรคได้ โรคที่มาพร้อมกับระบบร่างกายที่ผิดปกติ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

1.โรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองเร็วเกินไป

 1.1 ถ้าเกิดจากปัจจัยภายในร่างกาย เรียกว่า ภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง (Auto immune) โรค เหล่านี้ เช่น

 

  • โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (type 1 Diabetes)
  • โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rhumatoid arthritis)
  • โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)
  • โรคเอสแอลอี (SLE)

1.2    ถ้าเกิดจากปัจจัยภายนอกร่างกาย โรคเหล่านี้ เช่น

  • ภูมิแพ้
  • ภูมิแพ้ทางผิวหนัง
  • ลมพิษ (urticaria)
  • หอบหืด(Asthma)
  • ไซนัสอักเสบ (sinusitis)

2. โรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันตอบสนองน้อยเกินไป เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา พาราไซด์ เช่น

  • มะเร็ง
  • ไวรัสตับอักเสบ
  • HIV
  • เริม
  • วัณโรค

 

เสริมพลังภูมิต้านทานด้วยสมุนไพรฮั้วลักเซียม

        โดยปกติในคนเรานั้น ธรรมชาติก็จะมีกลไกที่กระตุ้นในร่างกายเราให้เราสามารถสร้างภูมิต้านทานหรือภูมิคุ้มกันร่างกายขึ้นมาเพื่อปกป้องหรือเป็นเกราะคุ้มกันเชื้อโรคต่างๆ ที่จะรุกล้ำเข้ามาทำอันตรายหรือทำให้เกิดโรคแก่อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายอยู่แล้ว แต่ในสภาวะที่ไม่ปกติกระบวนการสร้างภูมิต้านทานดังกล่าวอาจทำงานไม่เต็มที่ทำให้เชื้อโรคต่างๆ สามารถทำให้เกิดโรคแก่ร่างกายได้ การเสริมสร้างภูมิต้านทานแก่ร่างกายโดยวิธีการใช้สมุนไพรก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งคนโบราณนิยมใช้มาจากรุ่นสู่รุ่นตกทอดกันมาเรื่อย ๆ เนื่องจากเป็นภูมิปัญญาของคนโบราณ และไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรือผลข้างเคียง เช่น ที่พบในยาเคมี

 

สมุนไพรที่มีฤทธิ์ปรับภูมิต้านทาน (Immunomoderator herb) ในฮั้วลักเซียมได้แก่

        - Cordyceps sinensis (ตังถั่งเช่า) : เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายโดยไปกระตุ้นเซลล์หรือสารเคมีเฉพาะเจาะจงในระบบสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย 

        - Achyranthes bidentata (หญ้าพันงูน้อย หรือ งู่ฉิก) : กระตุ้นให้ร่างกายสร้าง Interleukin-2 มากขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับการบำรุงฟื้นฟู ระบบภูมิต้านทานของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุที่มีระบบภูมิคุ้มกัน หรือภูมิต้านทานต่ำ

         - Astragalus membranaceus (Milk vetch ปักคี้ หรือ อึงคี้) : ช่วยจำนวนเม็ดเลือดขาว มีฤทธิ์กระตุ้น cytokine อย่างเฉพาะเจาะจง

          - Panax ginseng (โสมเกาหลี): ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวโดยโดยกระตุ้นทั้ง B cell และ T cell ของระบบภูมิคุ้มกัน

 นอกจากนั้นในโสมยังมี สารที่ชื่อว่า protopanaxadiol และ protopanaxatriol ซึ่งช่วยเพิ่มจำนวนของ lymphocyte และ cytokine ได้อีกด้วย

          - Panax quinquefolius(โสมอเมริกา) :

 ส่วนที่เป็นสารสกัดในน้ำ (เป็นส่วนที่มี polysaccharide) มีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นหรือเสริมสร้างภูมิต้านทาน พวก nitric oxide (NO),tumor necrotic factor α(TNF α),Interleukin 6 (IT-6)

 

        สำหรับผู้ที่มีระบบการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน หรือภูมิต้านทานที่ผิดปกติ การดื่มยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียม ซึ่งประกอบด้วยตัวยาสมุนไพรที่มีฤทธิ์ปรับระบบภูมิคุ้มกัน (Immuno moderatory)ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยกระตุ้นทั้ง β cell, T cell, Interleukin,nitric oxide (NO) และ tumor necrotic factor α(TNF α) ซึ่งมีผลปรับระบบภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานของร่างกายให้ดีขึ้นจึงส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคที่มารุกรานได้เป็นอย่างดี

รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมเสริมพลังภูมิต้านทานด้วยยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมทุกวันนะคะ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง สมบูรณ์ แล้วพบกันใหม่กับ บทความดีๆ จาก ฮั้วลักเซียม ได้ใน www.loveyou-thailand.com ในตอนต่อไปค่ะ


 

ฮั้วลักเซียมคุยเรื่องโรค ตอน ภูมิคุ้มกันร่างกายสำคัญอย่างไร

       ภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานร่างกายปกติแล้วร่างกายคนเราสามารถสร้างขึ้นได้เองโดยอัตโนมัติ ในยามที่ร่างกายปกติ แต่เมื่อไรที่ร่างการเกิดความผิดปกติเกิดขึ้น ทำให้ร่างกายไม่สามารถ สร้างภูมิต้านทานตามธรรมชาติให้เกิดขึ้นได้เองแล้วจะทำให้เกิดโรคต่างๆเกิดขึ้น เปรียบเสมือน ถ้าทหารซึ่งเป็นรั้วของชาติไม่แข็งแรง ก็จะทำให้ข้าศึกศัตรูหรือเชื้อโรคก็จะสามารถเข้ามาโจมตีได้โดยง่าย ทำให้การโรคต่างๆเกิดขึ้นแก่เรา ดังนั้นการรักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ก็จะทำให้เชื้อโรคไม่สามารถรุกล้ำเข้ามา หรือหากเล็ดลอดเข้ามา ภูมิต้านทานของร่างกายซึ่งเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคก็จะสามารถกำจัดเชื้อโรคออกไปได้ 

      การรักษาภูมิต้านทานของร่างกาย ทำได้โดย

  1. หมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอ : การออกกำลังกายจะช่วยทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานเป็นปกติ
  2. การทานอาหารที่หลากหลาก : การรับประทานอาหารที่หลากหลายและครบหมู่ จะช่วยให้ระบบต่างๆของร่างกายทำงานเป็นปกติ การทานอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไปจะทำให้เกิดการสะสมสารชนิดนั้นในร่างกาย และหากขับออกมาไม่หมด การรับประทานออาหารควรรับประทานอาหารที่สด ไม่ผ่านการแปรรูป เนื่องจากการแปรรูปอาหารนั้นในปัจจุบันมักจะมีการเติมสารบางอย่างเข้าไปเพื่อประโยชน์ในการเก็บรักษาให้อาหารนั้นคงสภาพเดิม แต่สารเหล่านั้นหากรับประทานเข้าไปมาก อาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติแก่ร่างกายได้
  3. การทานพืช ผัก สมุนไพร : การทานพืช ผัก หรือสมุนไพร ที่หลากหลาย จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เพิ่มภูมิต้านทาน แก่ร่างกาย โดยในพืช ผัก สมุนไพร จะมีสารที่ช่วยกระตุ้มภูมิต้านทานร่างกาย ช่วยให้ภูมิต้านทานร่างกายกลับมาทำงานเป็นปกติ 

            เมื่อรู้เคล็ดลับการการดูแลสุขภาพดี ๆ อย่างนี้แล้ว อย่าลืมนำไปใช้บ้างนะคะ แล้วอย่าลืมพบกับบทความสุขภาพดีกับฮั้วลักเซียมได้ในตอนต่อไปนะคะ


 

ฮั้วลักเซียมคุยเรื่องโรค ตอน โรคภูมิแพ้ allergy

ภูมิแพ้ (allergy) คือ ความผิดปกติจากภาวะภูมิไวเกินของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายคนเรา ซึ่งอาการภูมิแพ้เป็นอาการที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของเรามีการตอบสนองต่อสารต่างๆ  ซึ่งสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้นั้นเรียกว่า สารก่อภูมิแพ้

        อาการแสดงของโรคภูมิแพ้

        อาการของโรคภูมิแพ้เกิดจาก สารก่อภูมิแพ้ ไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน หรือระบบภูมิต้านทานที่มากเกินไป แล้วส่งผลให้เกิดอาการภูมิแพ้ต่อระบบต่างๆตามมา อาการภูมิแพ้มีได้ตั่งแต่

 

  1. อาการภูมิแพ้ทางระบบทางเดินหายใจ

โดยผู้ป่วยที่มีอาการ ได้ตั้งแต่น้ำมูกไหล จาม คันจมูก คัดจมูก (คนทั่วไปมักเรียกโรคแพ้อากาศ) หรืออาจมีอาการรุนแรง เช่น ไอ มีเสมหะมาก มีอาการหอบหืด (หลอดลมมีการหดเกร็ง)

 

  1. อาการภูมิแพ้ทางระบบผิวหนัง

ผู้ป่วยมักมีอาการเป็นผื่นแดง หรือ ที่เรียกว่า ลมพิษ ซึ่งมักเกิดจาก แพ้อาหาร โดยผู้ป่วยที่เป็นลมพิษจะเริ่มด้วยอาการคัน หลังจากนั้นจะมีอาการบวม เป็นได้ทั้งตัวโดยเฉพาะที่ถูกเกาหรือกดรัด มักเป็นๆหายๆ อาการบวมอาจจะเป็นแบบตุ่มนูนที่มีขนาดแตกต่างกัน ส่วนใหญ่อาจดูคล้ายตุ่มยุงกัด แต่บางแห่งจะดูคล้ายแผนที่ โดยตรงกลางผื่นสีจะจางและไม่นูน ผื่นลมพิษนี้ อาจมีลักษณะแตกต่างไป ในบางครั้งจะรวมกันเป็นปื้นหนา หรือ อาจมีจุดขาวซีดๆ ตรงกลาง ขณะที่ขอบโดยรอบจะหนานูนแดง ผื่นลมพิษจะเห่อเร็วและผื่นนั้นมักจะหายภายใน 4-6 ชั่วโมงโดยไม่มีร่องรอยหลงเหลือ แล้วก็จะย้ายไปขึ้นบริเวณอื่นได้อีก

 

  1. อาการภูมิแพ้ทางระบบทางเดินอาหาร

ผู้ป่วยมีอาการ ปวดท้อง ท้องเสีย อาเจียนได้

 

  1. อาการภูมิแพ้ทางระบบดวงตา

ผู้ป่วยมีอาการคันตา  เคืองตา น้ำตาไหล มักเกิดจากการแพ้ฝุ่นละอองในอากาศ

 

  1. อาการภูมิแพ้ชนิดรุนแรงและเกิดหลายระบบร่วมกัน (Anaphylaxis)

ภูมิแพ้ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อาการแพ้จะเกิดขึ้นรุนแรง รวดเร็วและมีอาการหลายระบบ โดยผู้ป่วยอาจมีอาการคัน ลมพิษ บวมที่หน้า ปาก แน่นในลำคอ จาม น้ำมูกไหล หายใจลำบาก บางรายอาจมีอาการปวดท้อง อาเจียน ท้องเสีย ความดันโลหิตลดต่ำลง หมดความรู้สึก และอาจถึงแก่ชีวิตได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ในรายที่เป็นโรคหืดอยู่เดิมอาจไปกระตุ้นให้โรคหืดกำเริบได้

        สาเหตุของโรคภูมิแพ้

        1. พันธุกรรม : ผู้ป่วยที่มีประวัติพ่อแม่เป็นโรคภูมิแพ้จะมีโอกาสเป็นภูมิแพ้มากกว่าคนปกติ

        2. สิ่งแวดล้อม : ผู้ป่วยภูมิแพ้ควรพยายามหลีกเลี่ยงการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีสารก่อภูมิแพ้ เช่น หลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณหรือสถานที่ที่มีฝุ่นเยอะ หรือ หากแพ้ยา ก็ไม่ควรรับประทานยานั้นอีก

 

        การรักษาโรคภูมิแพ้

        อย่างที่ได้ทราบกันมาแล้วว่าโรคภูมิแพ้เป็นโรคที่เกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อสารก่อภูมิแพ้ ดังนั้นวิธีการที่จะไม่ให้เกิดโรคภูมิแพ้ที่ดีที่สุด คือ การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ เช่น พยายามค้นหาสาเหตุว่า หากอาการภูมิแพ้ที่เราเป็นอยู่เกิดจากอาหารทะเล ก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่ทานอาหารทะเล หรือหากแพ้ฝุ่นก็ไม่ควรอยู่ในสถานที่มีฝุ่น

        อย่างไรก็ตามแม้ว่าผู้ป่วยจะพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นดังกล่าวก็อาจไม่ได้ 100 % เพราะบางทีผู้ป่วยก็อาจต้องอยู่ในสถานะการณ์ที่มีสารก่อภูมิแพ้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นอีกวิธี คือ การแก้ที่ระบบภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานของร่างกายผู้ป่วยโดย ปรับปรุงสมดุลของระบบภูมิต้านทาน เพื่อให้ไม่เกิดปฎิกริยาการตอบสนองของร่างกายต่อสิ่งกระตุ้นเร็วจนเกินไป เช่น การดื่มยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมที่มีส่วนผสมของสมุนไพร 99 ชนิด ช่วยปรับสมดุลของระบบภูมิต้านทานหรือภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายกลับมาทำงานเป็นปกติจึงช่วยลดการเกิดภูมิแพ้ได้


 

 

Visitors: 181,549